ชีวิตความเป็นอยู่ในสวีเดนในด้านต่าง ๆ

ระบบภาษี

ระบบภาษี

ภาษีของสวีเดนประกอบด้วยภาษีและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ มากมายหลายอย่าง แต่ที่สำคัญที่สุด ได้แก่ ภาษีเงินได้และภาษีโรงเรือนที่จะต้องเสียให้แก่เทศบาล
และรัฐ นอกจากนั้นก็ยังมีภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษียานยนต์ ฯลฯ อีกด้วย รัฐสภา (โดยการนำเสนอของรัฐบาล) เป็นผู้กำหนดนโยบายเรื่องภาษี ส่วนอัตราภาษีนั้นกำหนดโดยสภาเทศบาล และสภามณฑลของแต่ละแห่ง ผู้เสียภาษี ได้แก่ บุคคลธรรมดา และนิติบุคคล โดยมีกรมสรรพากร (Skatteverket) มีหน้าที่ในการดูแลเรื่องจัดเก็บภาษี และค่าธรรมเนียมต่างๆ ตลอดจนการจัดทำทะเบียนราษฎร์ (Folkbokföring)

ข้อมูลมาจาก “หนังสือคู่มือคนไทยในสวีเดน”

เป็นภาษีที่เรียกเก็บจากบุคคลธรรมดาที่มีรายได้จากการทำงาน การทำธุรกิจ และจากทุน จำนวนรายได้ที่ต้องเสียภาษีคือ จำนวนรายได้รวมทั้งปีที่ได้หักจำนวนลดหย่อน (grundavdrag) ออกแล้ว จำนวนหักลดหย่อนสำหรับปี พ.ศ. 2554 หรือ ค.ศ.2011 เท่ากับ 18 200 โครนาสวีเดน ซึ่งจะขึ้นอยู่กับจำนวนราคาฐาน (prisbasbelopp) ที่รัฐบาลกำหนด ภาษีเงินได้ แบ่งออกเป็นสองระดับคือ ภาษีเงินสำหรับเทศบาลและมณฑล (Kommunal och Landsting inkomstskatt) และภาษีเงินได้สำหรับรัฐบาล (Statlig inkomstskatt)

ใครต้องเสียภาษีบ้าง
  • บุคคลธรรมดาที่พักอาศัยอยู่ในประเทศสวีเดนตลอดปีและมีรายได้ทั้งปี
    เท่ากับ 18,104 โครนาสวีเดนหรือมากกว่า
  • ผู้ที่ต้องเสียภาษีส่วนหนึ่งในสวีเดน ที่มีรายได้อย่างน้อย 100 โครนาสวีเดน
  • ผู้ที่มีกําไรจากเงินทุน (ก่อนหักลดหย่อน) อย่างน้อย 100 โครนาสวีเดน
  • บริษัทจํากัด (aktiebolag) สมาคมที่มีวัตถุประสงค์เพื่อค้ากําไร
    (ekonomiska föreningar) และนิติบุคคลบางประเภท
  • ผู้ที่ถูกศาลสั่ง
ภาษีอะไรบ้างที่ต้องจ่าย

ทุกคนจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่ม เมื่อซือสิ้นค้าและบริการต่าง ๆ ภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นส่วนหนึ่งของราคาสินค้าและบริการที่เราจ่าย
อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มที่เราจ่ายมีดังนี้
• 25 เปอร์เซ็นต์ของราคาสินค้าและการบริการต่าง ๆ
• 12 เปอร์เซ็นต์ของราคาอาหาร โรงแรม และที่
พักแรม
• 6 เปอร์เซ็นต์ของราคาค่าโดยขนส่งสาธารณะในท้องถิ่น หนังสือ หนังสือพิมพ์
นิตยสาร และสินค้าบางประเภท และค่าบริการต่าง ๆ ในส่วนของงานศิลปะและวัฒนธรรม


การบริการบางประเภทที่ไม่ต้องจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่ม ตัวอย่างเช่น
• การรักษาพยาบาล ทันตแพทย์ และการบริการดูแลช่วยเหลือ บุคคลทุพพลภาพ
และผู้สูงอายุ
• การศึกษา เช่น การศึกษาภาคบังคับ มัธยมศึกษาตอนปลาย และอุดมศึกษา
• การบริการด้านการเงินการธนาคาร
• การประกันภัย
• ค่าเช่า

ภาษีสรรพสามิต เป็ นภาษีพิเศษสินค้าบางประเภท เช่น แอลกอฮอล์ และเบนซิน รัฐเป็นผู้พิจารณาว่า สินค้าประเภทใดที่สมควรจ่าย ภาษีสรรพสามิต ส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าที่เป็นอันตรายต่อ สภาพแวดล้อมหรือสุขภาพ ซึ่งรัฐต้องการให้เราลดปริมาณการบริโภคสิ่งเหล่านั้นให้น้อยลง

ตัวอย่างสินค้าคุณต้องจ่ายภาษีสรรพสามิตมีดังนี้
• เชื้อเพลิง (เบนซิน นำ้มัน ถ่านหิน แก๊ส)
• ไฟฟ้า
• แอลกอฮอล์
• ยาสูบ

การแจ้งเสียภาษี (Självdeklaration)

กฎหมายกำหนดไว้ว่า ทุก ๆ ปี บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลจะต้องแจ้งการเสียภาษีเงินได้ โดยใช้แบบฟอร์มการแจ้งการเสียภาษีเงินได้ของกรมสรรพากร
(inkomstdeklaration) ที่จะมีรายละเอียดเกี่ยวกับรายได้ต่าง ๆ พร้อมรายการหักลดหย่อนและยื่นให้กับกรมสรรพากรเพื่อใช้ในการคำนวณภาษีเงินได้ อย่างช้าที่สุด วันที่ 2 พฤษภาคมของปีการเสียภาษี (taxeringsår) ถ้าปีไหนที่วันที่ 2 พฤษภาคมตรงกับวันเสาร์หรือวันหยุดราชการ ก็ให้ใช้วันธรรมดาถัดไป

ปัจจุบันกรมสรรพากรจะได้รับข้อมูลต่าง ๆ จากนายจ้าง บริษัทประกันภัย กองทุน ประกันสังคม และธนาคาร ทางกรมสรรพากรจึงได้กรอกข้อมูลต่าง ๆ ลงในใบแจ้งภาษีของบุคคลธรรมดาแต่ละคนและส่งไปให้ตามที่อยู่ที่มีอยู่ เพื่อให้บุคคลผู้นั้นตรวจสอบหรือใส่ข้อมูลเพิ่มเติม และส่งกลับให้กรมสรรพากร หลังจากนั้น (ล่าสุดไม่เกินวันที่ 15 ธันวาคมของปีการเสียภาษี) กรมสรรพากรจะส่งใบแจ้งจำนวนภาษีแท้จริง (slutskattebeskedet) ไปให้ทุกคนที่ได้แจ้งการเสียภาษีเอาไว้ ในใบแจ้งจำนวนภาษีแท้จริงนี้ จะระบุว่า ได้มีการจ่ายภาษีเกิน (ภาษีเงินได้ที่ได้รับคืน – skatteåterbäring) หรือจ่ายภาษีไม่ครบ (ภาษีค้างจ่าย – kvarskatt) และเงื่อนไขการรับคืนและการจ่ายเพิ่มไว้ด้วย

เว็บไซต์ของเราใช้คุกกี้เพื่อทำให้คุณพบกับความแตกต่างจากผู้ใช้อื่น ๆ ของเว็บไซต์ของเรา ทั้งนี้เพื่อช่วยให้เราสามารถส่งมอบประสบการณ์ ที่ดีเมื่อคุณติดตามเนื้อหาในเว็บไซต์ของเราและยังช่วยให้เราในการปรับปรุงเว็บไซต์ของเราอย่างต่อเนื่อง เมื่อคุณใช้งานเว็บไซต์ของเรา ถือว่าคุณได้ยินยอมให้เราใช้คุกกี้